นายวิมุติ บันทึกการเดินทางของนายวิมุติ โลกสีเขียว หลาน สหายลาดกระบัง

หวงซัน หงชุน 2009

11-18 ต.ค. 2552

11 ตุลาคม 2552


หวงซัน อยู่ทางตะวันออกของจีน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติของยูเนสโก มีคำกล่าวในภาษาจีนว่า ถ้าไปหวงซันแล้ว ก็ไม่ต้องไปภูเขาที่ไหนอีก หนังสือท่องเที่ยวจีนของเนชันแนลจีโอกราฟิกจัดให้หวงซันเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวประเภทภูเขา ภาพวาดทิวทัศน์จีนที่เป็นรูปภูเขาแหลมเสียดฟ้าตระการตาจนดูเกินจริงหลายภาพก็เป็นภาพวาดของหวงซัน

สรรพคุณที่ได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้หวงซันเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวในดวงใจของผมตลอดมา เมื่อพี่ชายผมวางแผนท่องเที่ยวเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาโดยมีหวงซันเป็นเป้าหมาย ผมจึงไม่ต้องเสียเวลาคิดนานนัก

ความจริงผมเคยไปหวงซันแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ตอนนั้นผมยังเรียนหนังสืออยู่เลย ความทรงจำช่วงนั้นยังคงแจ่มชัด และก็คิดมาตลอดว่าหากมีโอกาส ก็จะไปเยือนที่นั่นอีก



แก๊งของเราคราวนี้มีสามคนครับ นอกจากพี่ชายกับผมขาประจำแล้ว คราวนี้เหน็บหลานชายวัยแตกพานมาด้วยอีกหนึ่ง

คราวนี้นั่งหางแดง เป็นครั้งแรกที่นั่งเที่ยวบินโลวคอสต์ เหมาะกับคนโลวคลาสอย่างผมมาก


เทือกเขาหวงซัน ตั้งอยู่ในอำเภอหวงซัน มณฑลอันฮุย ห่างจากเซี่ยงไฮ้ราวสี่ร้อยกว่ากิโล การเดินทางที่สะดวกที่สุดน่าจะเป็นนั่งเครื่องบินจากกรุงเทพไปเซี่ยงไฮ้แล้วบินจากเซี่ยงไฮ้มาลงสนามบินหวงซันอีกที แต่เราไม่ทำอย่างนั้น เพราะไฮโซเกินไป เราเดินทางจากกรุงเทพไปลงกวางเจา แล้วนั่งรถไฟต่อไปที่หวงซันอีกที จะได้บรรยากาศกว่า จริงๆ แล้วนั่งรถไฟเอาบรรยากาศนั่นเป็นเหตุผลรอง เหตุผลหลักคือต้องการประหยัด

เครื่องบินออกจากสุวรรณภูมิ 18.30 น. นั่งเครื่องบินราวสองชั่วโมงครึ่งก็ถึงกวางเจา ไม่ทันได้พ้นสนามบินก็มีเรื่องให้เสียอารมณ์แล้ว เจ้าหน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองทำงานช้ามาก ไม่รู้ตรวจอะไรของมันนักหนา ตรวจแต่ละคนราวกับต้องมีการสอบปากคำ ผู้โดยสารก็ไม่ได้เยอะอะไร แต่ต้องใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะหลุดออกมาได้

ที่สนามบิน เรามีนัดพบกับหลินเหล่าซือกับหวงเหล่าซือ เจ้าถิ่นที่มารับถึงสนามบิน

หลินเหล่าซือและหวงเหล่าซือ เป็นครูชาวจีนสองสามีภรรยา สอนวิชาภาษาไทยอยู่ที่วิทยาลัยในกวางเจา ครอบครัวของผมได้รู้จักกับครอบครัวนี้ตั้งแต่ที่พี่ของผมไปเรียนอยู่ที่กวางเจาเมื่อราว 30 ปีก่อน ได้รับความกรุณาหลายอย่างจากครูผู้อารีคู่นี้มาตลอด หลังจากนั้นก็ยังมีการติดต่อกันอยู่สม่ำเสมอ แม้แต่คราวฤดูร้อนเมื่อต้นปีที่หลานสองคนของผมได้ไปเรียนภาคฤดูร้อนที่นั่น ก็ยังได้รับการดูแลจากเหล่าซือทั้งสองเป็นอย่างดี บางครั้งจึงรู้สึกเหมือนทั้งสองเป็นญาติผู้ใหญ่มากกว่าครู ในการเดินทางครั้งนี้เหล่าซือก็ช่วยเป็นธุระในเรื่องการจองที่พักและตั๋วเดินทางต่าง ๆ ไว้ให้แล้ว เราจึงสะดวกขึ้นมาก

ก่อนเข้าที่พัก ก็ต้องไปกินกันก่อน กวางเจาเป็นต้นตำหรับติ่มซำ อาหารค่ำวันนี้ก็ต้องเป็นติ่มซำ แล้วรสชาติก็ไม่ทำให้ผิดหวัง คีบอะไรใส่ปากเป็นต้องอร่อยไปหมด น่าเสียดายที่กระเพาะมีที่ว่างน้อยเหลือเกิน

หลินเหล่าซือพาเลือกของกิน






12 ตุลาคม 2552

วันนี้เราตื่นแต่เช้าตรู่ เช็คเอาต์แล้วมาที่บ้านหลินเหล่าซือซึ่งอยู่ไม่ไกล กินข้าวเช้าที่บ้านซึ่งอาหารอร่อยมาก มีอย่างหนึ่งเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่แห้ง คีบจุ่มซีอิ้วและน้ำมันกิน ดูไม่มีอะไรแต่อร่อยดี เจ็บใจนักที่มีแค่กระเพาะเดียว

บ้านหลินเหล่าซือ


มาเที่ยวคราวนี้ผมพกกล้องถ่ายรูปมาสองกล้องอย่างเคย Canon IXUS-850 ตัวหนึ่ง เป็นกล้องดิจิทัลคอมแพ็ก และกล้อง Nikon F100 ใส่ฟิล์มสไลด์ เลนส์ 80-200 หนึ่งตัว ปกติแล้วผมจะต้องพกเลนส์ 18-35 สำหรับถ่ายวิวมาอีกอันนึง แต่ดันหยิบมาผิดตัวเป็นเลนส์ 28-300 ซึ่งเก่าแล้ว คุณภาพไม่ดีนัก พอพบว่าหยิบมาผิดตอนนั่งรถมาสนามบิน จึงตัดสินใจไม่พกมาด้วย ฝากให้พี่สาวที่มาส่งเอากลับบ้านไป คิดในใจว่าถ้าจะถ่ายภาพมุมกว้างค่อยยืมเลนส์ 18-200 ของพี่ชายมาก็ได้ ความผิดพลาดครั้งนี้จึงถือได้ว่าไม่เลวร้ายมากนัก

ระหว่างนั่งรอรถไฟที่สถานีกวางเจา ก็เกิดเอะใจขึ้นมาได้ว่า กล้องของพี่ผมมันเป็นกล้องแบบดีเอสแอลอาร์นี่หว่า ไม่รู้ว่าเลนส์ 18-200 ตัวนั้นเป็นเลนส์สำหรับดิจิทัลโดยเฉพาะหรือเปล่า ถ้าใช่ ก็บรรลัยเพราะจะใช้กับกล้องฟิล์มไม่ได้ จึงหยิบมาลองดู แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ซวยแล้วครับ หมายความว่าครั้งนี้ผมจะตัองใช้เลนส์ 80-200 ตัวเดียวตลอด ความผิดพลาดที่คิดว่าไม่เลวร้ายเท่าไหร่ กลายเป็นเลวมาก





รถไฟออกเดินทางตามเวลา 9:40 ระยะทางระหว่างกวางเจากับหวงซันไกลร่วมพันกิโล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 18 ชั่วโมง หรือหนึ่งคืนกับค่อนวัน ตั๋วที่ได้เป็นตั๋วตู้นอน มีเตียงนอนสามชั้น ชั้นล่างพอสบาย เพราะมีที่ว่างเหนือเตียงมากพอจะนั่งได้ มีโต๊ะเล็ก ๆ พอจะวางข้าวของและทำงานนิดหน่อยได้ แต่คนได้ชั้นกลางและชั้นบนจะนั่งบนเตียงไม่ได้ สูงไม่พอ ถ้าอยากจะนั่ง ก็ต้องมานั่งที่เก้าอี้ที่อีกซีกหนึ่งของตัวตู้ตรงข้ามกับซีกที่นอน ซึ่งจะมีเก้าอี้ติดผนังสองตัวกับเชิงเล็ก ๆ แทนโต๊ะ ยื่นออกมาจากขอบล่างหน้าต่างแค่คืบเดียว ก็กว้างพอจะวางชามก๋วยเตี๋ยวได้เท่านั้น ในตู้ปรับอากาศ ห้ามสูบบุหรี่ ใครจะสูบต้องไปสูบในห้องสูบที่มีอยู่ให้ทุกหัวตู้

ระหว่างอยู่บนรถไฟ เราก็นั่ง ๆ นอน ๆ อ่านหนังสือบ้าง กินขนมบ้าง งีบหลับสักพักบ้าง แต่เวลาส่วนใหญ่ของผมจะไปนั่งอ่านหนังสือที่เก้าอี้ริมหน้าต่างนั่นมากกว่า เพราะชมวิวได้ วิวส่วนใหญ่ไม่ได้สวยอะไรนัก เป็นไร่นาพื้นที่กสิกรรมทั่วไป แต่สังเกตเห็นว่านาข้าวที่นี่แปลกดี บางแปลงข้าวสูงแค่คืบกว่าก็ตั้งท้องโย้เสียแล้ว ระหว่างทางต้องมุดอุโมงค์หลายครั้ง แรก ๆ ก็นับอุโมงค์เล่น แต่ก็เลิกนับเมื่อผ่านไปได้ไม่ถึงชั่วโมง เพราะมันมีถี่เหลือเกิน

กินมื้อกลางวันที่ตู้อาหาร รสชาติพอแหลกล่าย


สภาพของตู้โดยสารนอน มีสามชั้น ชั้นล่างเท่านั้นที่สูงพอจะนั่งได้ ส่วนชั้นกลางและชั้นบนนั่งไม่ได้ นอนอย่างเดียว


เนื่องจากอยู่แต่ในรถไฟ ไม่ได้ออกเรี่ยวแรง ไม่รู้สึกหิวเท่าไหร่ อาหารมื้อเย็นเราจึงไม่อยากจะเดินไปกินมื้อใหญ่ที่ตู้เสบียง จึงซื้อข้าวที่เขาเดินเข็นขายตามตู้มากินแทน เห็นท่าทางน่ากิน ราคาแผงละ 15 หยวน แต่พอกินได้สองสามคำก็ส่ายหน้ากันทั้งคณะ รสชาติห่วยจริง ๆ กว่าจะฝืนกินหมดแทบแย่

เผยแพร่ : 1 ธ.ค. 66 แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 68