นายวิมุติ บันทึกการเดินทางของนายวิมุติ โลกสีเขียว หลาน สหายลาดกระบัง

หวงซัน หงชุน 2009

11-18 ต.ค. 2552















ออกจากป่าไผ่กลับมาที่หงชุนตามเดิมด้วยความรู้สึกเสียดายเวลา ขากลับหงชุนสังเกตว่าสองข้างทางช่วงนี้บรรยากาศดีมาก มีนักท่องเที่ยวหลายคนเช่าจักรยานมาขี่เที่ยว นึกแล้วก็เสียดายที่น่าจะมาปั่นชมท้องทุ่งบ้าง ไม่น่าไปป่าไผ่นั่นเลย จะไปปั่นตอนนี้ก็ไม่มีเวลาแล้ว เย็นเกินไปแล้ว









กลับมาเดินเที่ยวในหงชุนต่อ ที่นี่ไม่ว่าจะเดินไปซอกไหนซอยไหน ก็จะเจอนักเรียนนั่งวาดภาพเต็มไปหมด นักเรียนพวกนี้มากันเป็นร้อย คงมากันเป็นทัวร์ กะคร่าว ๆ แล้วน่าจะมีถึงหนึ่งในสามของนักท่องเที่ยวทั้งหมดเลยทีเดียว เท่าที่ไปแอบมองแล้วฝีไม้ลายมือของเด็กพวกนี้ ไม่ค่อยจะได้เรื่องเท่าไหร่ หาคนที่ฝีมือดีแทบไม่เจอ นึกสงสัยเหมือนกันว่าทัวร์นักเรียนพวกนี้คงเป็นทัวร์วาดภาพแก้เอฟ 

ในมุมมองของคนที่ชอบวาดภาพ หงชุนเป็นแหล่งฝึกวาดภาพที่ดี เพราะมีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม มีหลืบมีซอกเยอะ บ้านเรือน สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของชาวบ้านก็ยังไม่ถูกการท่องเที่ยวครอบงำมากนัก ยังมีความเป็นดั้งเดิมอยู่พอสมควร แม้หมู่บ้านจะไม่ใหญ่นัก แต่มีมุมดี ๆ ให้ถ่ายภาพและวาดภาพมากมาย





















































เราพออาทิตย์ลับฟ้า เราก็กลับมากินมื้อเย็นที่โรงแรม ที่หมู่บ้านนี้แปลก ทั้งหมู่บ้านหาร้านอาหารแทบไม่มีเลย มีขายขนมบ้าง ถ้าจะหาร้านอาหารต้องผ่านประตูออกไปนอกเขตหมู่บ้าน ซึ่งมีร้านอาหารเรียงราย เข้าใจว่าคงเป็นแผนการจัดการเมืองของที่นี่ที่จะไม่ยอมให้มีร้านอาหารหรือบาร์แบบฝรั่งในเขตหงชุน ผมย้อนนึกถึงเมืองลี่เจียง ซู่เหอ ที่เต็มไปด้วยบาร์และร้านอาหารแล้ว รู้สึกชอบที่นี่มากกว่า

ขากลับโรงแรมแวะซื้อไอ้นี่มา ขนมอะไรก็ไม่รู้ รสชาติก็อร่อยแบบแปลก ๆ แต่กินได้แค่ครึ่งอันก็ทิ้ง


มื้อค่ำ ที่โรงแรมอีกแล้ว


ระหว่างมื้อเย็น เจ้าของโรงแรมบอกว่า เดี๋ยวกลางหมู่บ้านจะมีงิ้วแสดง น่าไปดู ก็ดีเหมือนกัน ถึงจะดูไม่เป็นแต่ก็อยากไปดูสักหน่อย ดีกว่านั่งอยู่ในโรงแรมเฉย 



ถึงจะเป็นงิ้วบ้านนอกโรงเล็ก แต่มีซับไตเติ้ลนะจะบอกให้ เวลาตัวละครร้องอะไร ก็จะขึ้นตัวหนังสือให้ผู้ชมได้อ่านด้วย แต่ดู ๆ แล้วเหมือนจะมีให้นักแสดงได้อ่านกันลืมเนื้อมากกว่า เห็นเขาต้องเหลือบดูหลายครั้ง






ดูงิ้วไม่นานก็ออกมาเพราะดูไม่รู้เรื่อง เดินชมหงชุนยามค่ำดีกว่า แล้วจะได้ออกนอกหมู่บ้านไปกินเซาเข่าด้วย อยากมานานแล้ว

ร้านเซาเข่าที่นี่มีมากมายนับสิบร้าน ที่พิเศษกว่าที่อื่นที่เคยเห็นก็คือ ที่โต๊ะลูกค้ามีเตาให้ลูกค้าได้ย่างกินเองด้วย เหมือนหมูกะทะเลย พอลูกค้าเลือกของเสร็จแล้วก็อาจหอบไปย่างเองที่โต๊ะเลยหรือจะให้เขาย่างให้ก็ได้ ตอนแรกผมให้เขาย่างให้ เพราะย่างเองไม่เป็น โดยเฉพาะพวกเห็ดพวกต้นหอม ดูไม่ออกว่าเมื่อไหร่สุก แต่หลานชายอยากย่างเองมากกว่า ก็เลยบอกให้เขาเอามาที่โต๊ะย่างเอง การย่างเซาเข่าไม่ใช่แค่ย่างให้สุกแล้วก็จบ ระหว่างย่างจะต้องมีการละเลงน้ำมัน ทาซอส คลุกเคล้าเครื่องเทศเครื่องปรุงไปด้วย เขาเตรียมชุดเครื่องปรุงต่าง ๆ มาให้ด้วย มันก็น่าสนุกดี แต่ความสนุกก็กลับกลายเป็นความทุกข์ระทมในเวลาต่อมา เพราะผมปรุงอีท่าไหนก็ไม่รู้ ต้นหอมย่างของโปรดออกมาเค็มปี๋ เค็มเหมือนไปแช่เกลือมายังไงยังงั้น เราพยายามฝืนกินเพราะกลัวเสียฟอร์ม อายแม่ค้า แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ ยกไม้ที่ยังไม่ได้ขึ้นเตาเอาไปให้แม่ค้าย่างให้ตามเดิม แม้ไม้หลัง ๆ ที่แม่ค้าย่างให้จะรสพอดี แต่รสเค็มสุดขั้วยังคงติดลิ้นไปจนกระทั่งหลังกินเสร็จ ต้องไปซื้อโค้กมาล้างปาก เซาเข่าที่รอคอยกลายเป็นเซาเข่าเขย่าขวัญไปเลย 



เผยแพร่ : 1 ธ.ค. 66 แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 68